( SSID, Wireless Security, Access Control, Connections )
Tenda Router Wireless Series
W309R+/ FH303+/FH303 / F3 / FH305 / N301 / N150
1. ความหมายของเมนูและ Item ใน Wireless Basic Setting
Wireless Basic เป็นหมวดของการตั้งค่าหลัก ๆ เช่น การเปลี่ยนโหมดการใช้งาน, การตั้งชื่อ Wireless, การเปลี่ยนช่องสัญญาณ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเป็นการปรับแต่งค่าบางอย่างให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยมีรายละเอียดของแต่ละ Item ในการตั้งค่าดังนี้
- Enable Wireless
- Enable เพื่อเปิดการทำงานของ Wireless
- Disable เพื่อปิดการทำงานของ Wireless
- Network Mode
- แนะนำให้เลือกค่า Default เป็น 11b/g/n mixed mode แต่ถ้าปรับเป็น Mode อื่นก็จะมีผลเรื่อง Speed ลดลง แต่กำลังส่งจะเพิ่มขึ้นครับ และฟังก์ชั่นบางอย่างจะหายไป
- Primary SSID
- Primary SSID สำหรับการตั้งหรือเปลี่ยนชื่อ Wireless ชื่อหลัก ในกรณีที่เซตเป็นโหมด Repeater ไว้นั้น ค่า Primary SSID จะเป็นชื่อของตัวหลักแทน
- Secondary SSID
- Secondary SSID สำหรับตั้งหรือเปลี่ยนชื่อ Wireless ชื่อที่ 2 ครับ แต่โดยมากมักจะใช้ในเวลาที่เซตโหมด Repeater ไว้
* SSID สามารถตั้งชื่อได้สูงสุด 32 ตัวอักษร
** ดูตัวอย่างการตั้งชื่อ Secondary SSID ในโหมด Repeater ข้อ 1.3
- Broadcast ( SSID )
- Enable เพื่อตั้งให้กระจายชื่อ Wireless แบบแสดงชื่อให้ทุกคนเห็น
- Disable คือการตั้งให้ซ่อนชื่อ Wireless เพื่อไม่มีใครเห็นชื่อ
- AP Isolation
- Enable เพื่อให้ Wireless แต่ละเครื่องมองไม่เห็นกัน หรือแชร์ข้อมูลกันได้ มักจะใช้เวลาเปิดให้ใช้ Wireless แบบ Hotspot หรือแบบสาธารณะ
- Disable เพื่อให้ Wireless แต่ละเครื่องสามารถมองเห็นกัน และแชร์ไฟล์กันได้ สำหรับใช้งานทั่วไป ในบ้าน หรือ บริษัท หรือองค์กร เป็นต้น
- Channel Bandwidth
- เลือก 20MHz เพื่อใช้งานที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของ 300Mbsp แต่สัญญาณจะเสถียรขึ้น เพราะช่วงสัญญาณไม่กว้างมากโดยมักจะเลือก 20MHz ในย่านที่มีการใช้งาน Wireless กันเยอะ หรือเวลา Extension Channel ไปทับซ้อนกับ AP ตัวอื่น
- เลือก 20/40 MHz เพื่อเปิดใช้งานที่ความเร็วเต็ม 300Mbsp แต่จะใช้ช่วงของช่องสัญญาณที่กว้างมาก มีโอกาสไปทับซ้อน กับ AP ตัวอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และตัวรับ Wireless ก็ต้องรองรับ 40MHz ด้วยถึงจะได้ความเร็วเต็ม
- Extension Channel
- เป็นช่องสัญญาณส่วนขยาย ที่ใช้ร่วมกับ Channel หลัก เพื่อให้ได้ความเร็วที่ 300Mbp โดย Extension Channel จะเลือกได้ก็ต่อเมื่อเลือก Channel Bandwidth เป็น 20/40MHz ครับ และเปลี่ยน Extension Channel เป็นเลขอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการทับซ้อนกันกับ AP ตัวอื่น หรือถ้าเปลี่ยนแล้วยังมีปัญหาเรื่องสัญญาณไม่เสถียร ก็อาจจะต้องไปเลือก Channel Bandwidth เป็น 20MHz
- Channel
- เลือกช่องสัญญาณเพื่อเลี่ยงการทับซ้อนของช่องสัญญาณกับ Wireless ตัวอื่น มักเปลี่ยนในกรณีที่ใช้งานผ่าน Wireless แล้วช้า หรือ Wireless ที่เชื่อมต่อหลุดบ่อย
- เลือก Auto เพื่อให้ตัวอุปกรณ์ทำการเลือกช่องสัญญาณให้อัตโนมัติ
- WMM Capable
- Enable เพื่อเปิดฟังก์ชั่น QoS สำหรับการใช้งานกับ Service ประเภท VoIP หรือ Video ให้ได้รับความสำคัญในการส่งข้อมูลก่อน Service อื่น
- Disable เพื่อปิดฟังก์ชั่น QoS บน Wireless
- ASPD Capable
- Enable เพื่อเปิดฟังก์ชั่นประหยัดพลังงาน
- Disable เพื่อปิดฟังก์ชั่นประหยัดพลังงาน ( ค่า Default เป็น Disable )
- Tx Power
- เป็นการปรับกำลังส่งของอุปกรณ์ ให้มีความแรงระดับสูง กลาง และ ตํ่า ซึ่งการปรับกำลังส่งให้ตํ่าเพื่อไม่ให้สัญญาณครอบคลุมไปไกลมาก
1.1. การตั้งชื่อ Wireless และตั้งรหัสผ่าน Wireless Security
1. การตั้งชื่อ Wireless และตั้งรหัสผ่านป้องกัน Wireless สามารถทำได้ 2 ช่องทาง โดยทางแรกก็คือ จากหน้า Wizard หน้าแรก ดังรูป
2. ทางที่สองคือ เข้ามาตั้งชื่อผ่าน เมนู Wireless Settings Wireless Basic Settings ครับ โดยความยาวของการตั้งชื่อ Wireless ที่รองรับชื่อได้สูงสุด 32 ตัวอักษร และรองรับสัญลักษณ์พิเศษ ยกเว้นสัญลักษณ์อาทิ , ; “ “ & และ \ ครับ
กรณีที่ตั้งชื่อ Wireless แล้วมีสัญลักษณ์พิเศษ เช่น , : “ % / & Router ไม่รองรับและก็จะมีข้อความแจ้งเตือนดังนี้ครับ
3. สำหรับ Secondary SSID นั้น ออกแบบให้ สามารถตั้งชื่อที่ 2 ได้ โดยตั้งต่างกันกับ Primary SSID ได้ และสามารถตั้งรหัสผ่านของชื่อแต่ละตัวต่างกันได้ด้วย แต่ถ้าเซตโหมด Wireless Extender ไว้ จะทำให้ใช้งานได้แค่ชื่อ SSID เดียวเท่านั้นครับ
โดยโหมด Wireless Extender เช่น Universal Repeater, WISP และ WDS นั้น ตัว Tenda จะใช้ Primary SSID ในการทำงานเป็น Client Mode เพื่อทำหน้าที่ เชื่อมต่อกับ AP ตัวหลัก แล้วก็จะเลื่อนชื่อ SSID ที่ใช้งานจริง ให้มาเป็น Secondary SSID แทน ซึ่งการเปลี่ยนชื่อ Wireless ในโหมด Wireless Extender จึงต้องเปลี่ยนที่ Secondary SSID แทนครับ
2. การปรับแต่ง Wireless Channel
Wireless Channel เป็นช่องความถี่สัญญาณที่ Access Point ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลกับ Wireless Cleint ที่เชื่อมต่ออยู่ โดยค่าในหน้า Wireless Basic Settings ที่เกี่ยวข้อง ก็จะมี Channel, Channel Bandwidth และ Extension Channel ค่า Default จากโรงงาน ก็จะกำหนดให้ Channel และ Extension Channel เป็นแบบ AutoSelect และสำหรับ Channel Bandwidth ก็กำหนดค่าให้ใช้ Bandwidth สูงสุดคือ 40MHz ครับ ซึ่ง ค่าเหล่านี้ ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุด ตามเนื้อหาต่อไปนี้
2.1. สำหรับจำนวนของช่องความถี่สัญญาณที่คลื่น 2.4 GHz ใช้งาน จะขึ้นอยู่กับโซนประเทศ เช่น บางโซนใช้ Channel ได้ตั้งแต่ 1-13 หรือ 1-11 หรือในบางโซนประเทศรองรับถึง 1-14 เช่นประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น แต่สำหรับ Router Wireless Tenda จะตั้งโซนประเทศ ให้ใช้ช่องสัญญาณ 1-13 ครับ
ช่องสัญญาณโดยปรกติจะใช้ Bandwidth ประมาณ 20 – 22MHz ซึ่งทำให้ Bandwidth เกินไปยังช่องสัญญาณ หรือ Channel Overlap
2.2. Channel Overlap หรือช่องสัญญาณ ทับซ้อน หรือ ชนกัน เกิดจากการที่ มี Access Point มากกว่า 1 ตัว ติดตั้งใกล้ ๆ กัน หรืออยู่ในบริเวณที่สัญญาณกระจายถึงกัน และ Access Point เหล่านั้น มีการตั้งค่า หรือใช้ ช่องความถี่สัญญาณ ใกล้ ๆ กัน เช่น AP ตัวที่ 1 ใช้ช่องสัญญาณ 1 และ AP ตัวที่ 2 ใช้ช่องสัญญาณ 3 เป็นต้น ซึ่งจากในรูปตัวอย่าง จะเห็นว่า Channel 1 กับ 3 จะมีส่วนที่ Overlap กัน ดังนั้น ถ้า AP ตัวแรกใช้ Channel 1 ก็ต้องปรับเปลี่ยน AP ตัวที่ 2 ให้ใช้ Channel 6 เป็นต้น ซึ่งการจัดระเบียบการใช้ช่องความถี่สัญญาณ ถือว่ามีความจำเป็นมาก สำหรับการติดตั้ง AP ในบริเวณที่มีการใช้งานหนาแน่น เช่น หอพัก อพาร์เมนต์ หรือ ในห้าง หรือแม้แต่ในเขตเมือง เขตชุมชม
2.3. Channel Bandwidth 40MHz สืบเนื่องจาก มาตรฐาน Wireless N จะมาพร้อมเทคโนโลยี ในการเพิ่มความเร็วของ Wireless ให้สามารถเชื่อมต่อและรับส่ง ได้ที่ความเร็วสูงขึ้น เช่น 300Mbps โดยกลไกคือ เอา Channel Bandwidth 20MHz จำนวน 2 ช่องสัญญาณ มารวมกันให้ได้ความกว้างเท่ากับ 40MHz ซึ่งข้อดีหลัก ๆ ก็คือ เรื่องความเร็ว ที่เพิ่มขึ้นกว่า แบบ 20MHz แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบ ก็คือ โอกาสในการชนกัน หรือ ทับซ้อนกันของ Channel สูงกว่า การตั้งค่าแบบ 20MHz Only ครับ โดยจากตัวอย่าง จะเห็นว่า การใช้ Channel Bandwidth 40MHz นั้น จะเกิน หรือลํ้าไปยัง ช่องสัญญาณอื่นมากกว่าแบบ 20MHz ครับ
2.4. การใช้ Utility ช่วยในการตรวจสอบ Channel ของ Wireless ใกล้เคียง ในกรณีที่ผู้ใช้ ต้องการตรวจสอบ หรือดูว่า Access Point ใกล้เคียงใช้ Channel อะไรบ้าง และมีการปรับใช้ Bandwidth 20MHz หรือ 40MHz และดูว่า Access Point ตัวของผู้ใช้ มีการใช้ Channel Overlap กันหรือไม่ ก็สามารถใช้ Utility ในการตรวจสอบ ในตัวอย่างชื่อ inSSIDer ครับ หรือผู้ใช้จะใช้ Wireless Utility หรือ Tool ตัวอื่นในการตรวจสอบ Wireless Site Survey ก็ได้เช่นกัน สามารถหาโหลดได้ทั้ง Windows หรือบน App ทั้ง iOS และ Andriod
NOTE : กรณีที่ใช้ inSSIDer ตรวจสอบไม่แนะนำให้ใช้ Internet หรือใช้งาน Wireless เวลาเปิด inSSIDer นะครับ เพราะจะทำให้สัญญาณ Wireless สวิงมาก และไม่เสถียรครับ ถ้าจะใช้งาน Internet หรือ Wireless ก็ให้ปิดโปรแกรมก่อนครับ
2.5. การเปลี่ยน Channel ในกรณีที่ Channel แบบ Auto ยังมีปัญหาเรื่อง Wireless อยู่ การเปลี่ยน Channel แบบ Fix เอง ก็เป็นวิธีในการแก้ปัญหาอีกทางหนึ่ง โดยผู้ใช้สามารถเลือก เปลี่ยน Channel ได้ตั้งแต่ 1–13 ให้เป็นค่า Channel ที่เหมาะสมครับ โดยกรณีถ้า ผู้ใช้ไม่ได้ใช้ inSSIDer หรือ Wireless Tool ในการค้นหา Site Surey Channel ของ Access Point ข้างเคียงว่าใช้ Channel อะไรบ้าง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแบบสุ่มเองครับ แล้วดูผลของการเปลี่ยนว่า Wireless ดีขึ้นหรือไม่ครับ ถ้ายังไม่ดี ก็ปรับ Channel อีกจนใช้งานได้ปรกติครับ
2.6. การปรับเลือก Channel Bandwidth ให้เป็น 40 MHz นั้น ตัวอุปกรณ์ จะมีให้ปรับค่าในส่วนของ Extension Channel ด้วยครับ เพื่อให้รวมกันได้ความเร็วสูงสุด ตรงนี้ แนะนำให้ปรับสำหรับพื้นที่ที่ ไม่มีการใช้งาน Wireless หนาแน่นครับ ยิ่งใน ห้าง หรือ หอพัก ที่มีการใช้ Wireless เยอะ จะทำให้มีโอกาสในการทับซ้อน หรือชนกันของ Channel สูงครับ เป็นผลให้การใช้งานไม่เสถียรครับ
2.7. การปรับเลือก Channel Bandwidth เป็น 20 MHz จะปิดการทำงานของ Extension Channel อัตโนมัติครับ เพราะตัวอุปกรณ์จะเปิด ให้ทำงานแค่ Channel หลัก เท่านั้น สำหรับการปรับ Bandwidth เป็น 20MHz มักจะเป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหา Wireless อีกวิธีเช่นกัน
รูปด้านซ้ายแสดงความเร็วการเชื่อมต่อเมื่อปรับ Channel Bandwidth ให้กว้างขึ้น 40Mhz ทำให้สามารถเชื่อมต่อ Wireless ได้ที่ความเร็วสูงสุดที่ 300Mbps ครับ ส่วนรูปด้านขวาเป็นการปรับให้ Channel กว้าง 20MHz ครับ ความเร็วการเชื่อมต่อหายไปครึ่งหนึ่ง แต่ได้รับความเสถียรในการใช้งานมากขึ้น
NOTE : กรณีที่ใช้ Wireless N ความเร็ว 150Mbps เวลาปรับ Channel Bandwidth เป็น 40MHz ก็จะได้ความเร็วที่ 150Mbps แต่ถ้าปรับ Channel Bandwidth เป็น 20MHz จะทำให้ความเร็วเหลือ 72Mbps ครับ
2.8. ตัวอย่างจากโปรแกรม inSSider แสดงช่องสัญญาณ 10+6 มีการทับซ้อนกับช่องสัญญาณของ Access Point อีก 5 ตัวครับ
ได้ทำการปรับ Channel Bandwidth ของ Router Wireless ให้ไปที่ 20MHz แล้ว ปรับ Channel เป็น 10 ครับ ดังรูปตัวอย่าง
ผลที่ได้จาก inSSIDer ก็คือ สามารถเลี่ยง Channel Overlap ได้แล้ว โดยไม่ทับซ้อน หรือชนกับ AP ตัวไหนครับ สำหรับผลลัพธ์ อาจจะได้ความเร็วที่น้อยลง แต่ก็สามารถช่วยให้เลี่ยงการทับซ้อนของช่องสัญญาณกับ AP ตัวอื่นได้ครับ
3. การตั้งค่า Wireless Security
NOTE : ค่า Default จากโรงงาน คือ 12345678 โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนรหัสได้เอง ขั้นตํ่า 8 ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือผสมกันก็ได้ครับ โดยถ้าตั้งค่าเสร็จ ในหน้า Quick Setup ตัวอุปกรณ์จะทำการเข้ารหัสความปลอดภัย แบบ WPA-PSK ชนิ AES ให้อัตโนมัติ
![]() |
3.1. Wireless Security Mode
การตั้งค่า รหัสผ่านป้องกัน Wireless แบบกำหนดเอง จะมีความแตกต่างจาการตั้งค่ารหัสผ่าน Wireless จากหน้า Quick Setup คือ สามารถปรับเลือก Security Mode เองได้ ว่าต้องการให้ Wireless ที่ใช้งานมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน และมีความเข้ากันได้กับ Wireless Clients ต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน โดยจะมี Mode ให้เลือก อาทิ Disable, WEP, WPA, WPA2, Mixed WPA เป็นต้น ทั้งนี้โหมดที่มี่ให้เลือกเพื่อปรับค่าตามความเหมาะสมครับ
3.1.1. การตั้งค่า Security Mode แบบ WEP ความยาว 5 หรือ 13 ตัว ( ASCII ) เป็นโหมด Security ที่เข้ากับอุปกรณ์ Wireless Clients ดีที่สุด แต่ความปลอดภัยก็ตํ่าด้วยครับ ( ความปลอดภัยตํ่าคือ สามารถ Hack รหัสผ่านได้ง่ายกว่าแบบอื่น ) Security แบบ WEP เหมาะสำหรับแก้ปัญหาการใช้งานกับอุปกรณ์ มือถือ หรือ Table ที่เชื่อมต่อ Wireless กับ Router Wireless ไม่ค่อยได้
3.1.2. การตั้งค่า Security Mode แบบ WPA-PSK ( TKIP / AES ) เป็นโหมด Security ที่มีความปลอดภัยมากกว่า WEP โดยถือเป็นโหมดความปลอดภัยระดับกลางครับ แต่เป็นระดับกลางที่ยังถือว่า ปลอดภัยต่อการ Hack จากผู้ไม่หวังดีครับ สำหรับจำนวนรหัส Wireless ของโหมดนี้ จะต้องกรอกขั้นตํ่า 8 ตัว ( ตัวเลข หรือตัวอักษร หรือผสมกัน ) แนะนำให้เลือก Algorithms เป็น AES เพื่อความปลอดภัยที่ดีกว่า แต่ถ้าเจอปัญหาใช้งานกับอุปกรณ์ มือถือ , Table ที่เชื่อมต่อ Wireless กับ Router ไม่ค่อยได้ ให้เลือกเป็น TKIP แทน
3.1.3. การตั้งค่า Security Mode แบบ WPA2-PSK ( TKIP / AES ) เป็นโหมด Security ที่มีความปลอดภัยดีที่สุด ถ้าเทียบระหว่าง โหมด Wireless แบบ Personal ครับ โดยมีความปลอดภัย และแข็งแกร่งกว่า WEP และ WPA-PSK ครับ โดยจำนวนรหัส Wireless ก็ 8 ตัว เหมือนกับ WPA-PSK ครับ สำหรับการเลือก Algorithms นั้น ก็เป็นแบบ AES ก่อน ถ้ามีปัญหาเข้ากันไม่ได้ ก็เลือกถัดมาเป็นแบบ TKIP ครับ แต่ถ้าต้องการให้เครื่อง Client เลือก Algorithms เอง เพราะอาจจะมีอุปกรณ์หลายแบบ ก็ให้เลือก TKIP&AES ก็ได้
3.1.4. การตั้งค่า Security Mode แบบ Mixed WPA/WPA2-PSK ( TKIP / AES ) เป็นโหมด Security ที่มีทั้งความปลอดภัยและยืดหยุ่นที่สุด เพราะรองรับโหมด Security Mode ทั้ง WPA-PSK หรือ WPA2-PSK ส่วน Algorithms ก็เหมือนของข้อ 3.1.3 และ 3.1.4 ครับ ซึ่งถ้าผู้ใช้ตั้งให้ตัวรับ เลือก Sucurity Mode แบบ Auto นั้น ตัวรับจะทำการเลือกแบบ WPA2-PSK ชนิด AES ก่อนเป็นอันดับแรก หรือจะเลือกแบบ Manual เองก็ได้ ว่าจะให้ตัวรับ เชื่อมต่อด้วย Wireless Security Mode ไหน
3.2. การตั้งค่าความปลอดภัยแบบ WPS ( Wi-Fi Protect Setup )
สำหรับการตั้งรหัสผ่านขึ้นมาด้วยวิธี WPS นั้น ตัวอุปกรณ์ Router Wireless จะสร้าง Security Wireless แบบ WPA2-Personal และ Encrypt ข้อมูลแบบ AES ซึ่งถือเป็น Security ที่แข็งแกร่งที่สุดครับ และในส่วนของ PSK Key นั้นตัวอุปกรณ์จะทำการสุ่มรหัสผ่านอัตโนมัติขึ้นมาเอง ซึ่งทำให้การตั้ง Security แบบ WPS นั้นดูจะมีความปลอดภัยมากกว่าการตั้งค่าแบบ Manual ครับ และสำหรับการตั้งค่าแบบ WPS จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ Pin และ แบบ PCB โดยแต่ละแบบมีความหมายดังนี้
- แบบ PBC หมายถึง การตั้งรหัสความปลอดภัย Wireless แบบกดปุ่ม ครับ โดยให้กดปุ่ม WPS ที่ตัว Router Wireless ก่อน จากนั้น ก็กด WPS ที่ Wireless Adapter เพื่ให้มีการแลกเปลี่ยน Key กันครับ โดยหลังจากกดปุ่ม WPS ที่ตัว Router Wireless แล้ว ภายใน 2 นาที ก็ต้องกดปุ่ม WPS ที่เครื่อง Wireless Client ให้ทันครับ วิธีนี้ โดยมาเหมาะสำหรับกรณีที่ Wireless Adapter มีปุ่ม WPS มาด้วยครับ แต่ถ้าไม่มี ก็ทำผ่าน Utility ของ Wireless ของยี่ห้อนั้น ๆ ได้เช่นกันครับ
- แบบ Pin หมายถึง การตั้งรหัสความปลอดภัย Wireless แบบเอาหมายเลข Pin ของ Wireless Adapter มากรอกให้ตัวอุปกรณ์ Router Wireless รับรู้ ซึ่ง WPS Pin นั้น จะมาพร้อมกับ Wireless Adapter อยู่แล้ว โดย ในอุปกรณ์ Wireless บางรุ่นจะถูกระบุ WPS Pin ไว้เลย เปลี่ยนไม่ได้ แต่ใน Wireless Adapter บางรุ่นสามารถเปลี่ยน หรือ ตรวจสอบได้ผ่านทาง Utility ของ Wireless Adapter ของยี่ห้อนั้น ๆ ครับ
3.2.1. การตั้งค่า WPS แบบ PBC
การตั้งค่า WPS แบบ PBC หรือใช้การกดปุ่ม นั้น ก่อนอื่น ต้องเปิดการทำงานฟังก์ชั่น WPS ก่อนครับ โดยในหน้าเมนู Wireless Security ให้เลือก Security Mode ให้เป็น Disable ก่อน จากนั้น ก็ให้เลือก Enable WPS Setting ( 1 ) และต่อไปก็เลือก WPS Mode เป็น PBC ( 2 ) เสร็จแล้วกดปุ่ม OK เพื่อบันทึกค่าครับ
NOTE : โหมดนี้ ต้องตรวจสอบ Wireless Adapter ที่ใช้งานว่า รองรับปุ่ม WPS หรือ Utility รองรับ WPS แบบ PBC หรือไม่ครับ โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับอุปกรณ์ Wireless Network อื่น เช่น Printer ที่รองรับ WPS ได้เช่นกัน
ตัวอย่างการตั้งค่า WPS แบบ PBC
โดยการกดปุ่ม WPS ด้านหลังตัวอุปกรณ์ค้างไว้ 1 – 2 วินาที แล้วไฟ WPS จะกระพริบประมาณ 2 นาที ช่วงนี้ให้กดปุ่ม WPS ที่ตัวรับสัญญาณ Wireless หรือที่ตัวอุปกรณ์ Wireless Network ค้างไว้ประมาณ 1 – 2 วินาที จากนั้น รอสักพัก ให้อุปกรณ์ทั้ง สอง เชื่อมต่อกันเองอัตโนมัติ
โดยหลังจากที่เชื่อมต่อกันได้แล้ว ถ้าเข้ามาตรวจสอบที่หน้า Wireless Security จะสังเกต เห็นว่า Security Mode มีการสร้าง Security Mode เป็น Mixed WPA/WPA2-PSK และ WPA Algorithms เป็น TKIP&AES ส่วน Key นั้นก็จะมีการสุ่มขึ้นมาเองอัตโนมัติครับ
** ขณะทำ WPS นั้นสามารถกดปุ่ม WPS จาก Wireless Client ได้หลายเครื่องครับ โดยเครื่องแรกเสร็จ ก็ทำซํ้ากับเครื่องที่ 2 และ 3 จนครบ
*** ถ้าทำ WPS แล้วไม่สามารถ Sync กันระหว่างตัว Router กับ Wireless Client ได้ ให้ลอง Reboot ตัว Router ดูแล้วลองใหม่อีกครั้ง
3.2.2. การตั้งค่า WPS แบบ PIN
การตั้งค่า WPS แบบ PIN นั้น เริ่มต้นจาก Enable WPS Setting ก่อน จากนั้น ก็เลือก WPS Mode เป็น PIN แล้วเอาค่า PIN ที่แสดงข้างใต้ตัวรับสัญญาณ หรือ แสดงในตัว Utility ของตัวรับสัญญาณ Wireless Adapter มากรอกในช่องข้าง ๆ PIN ( หมายเลข 2 )
ตัวอย่างการตั้งค่า WPS แบบ PIN ( โปรแกรม Ralink Utility )
ตัวอย่างการตั้งค่า WPS แบบ PIN โดยเริ่มจาก เลือกวิธีในการตั้งค่า WPS ให้เป็นแบบใช้ PIN จากนั้นก็ให้เลือกชื่อ Access Point ที่ต้องการ
จากนั้น ก็เลือกวิธีในการกรอกรหัส PIN โดยให้เป็นแบบ “ Type PIN in AP “ แล้วจะมีรหัส Pin Code ของ Utility แสดงในช่อง Pin Code
ให้เอา รหัส Pin Code ไปกรอกใน ช่อง Pin ของ Router Wireless แล้วเริ่มกดปุ่ม Start PIN เพื่อเริ่ม Sync ค่ากับ Access Point
สลับไปหน้า Tenda เพื่อเอา Pin Code ไปกรอกในช่อง PIN แล้วกดปุ่ม Apply ครับ แล้วรอสักครู่ สังเกตไฟ WPS จะกระพริบ ๆ ครับ
ถ้า Sync กันได้แล้ว ตรง Utility Wireless ของ Ralink ก็จะขึ้น “ Successfully “ ครับ และ Profile จะถูกสร้างเองอัตโนมัติรอให้เชื่อมต่อ
** การเซต WPS แบบ PIN นั้น จะแตกต่างกันตามยี่ห้อ และ Utility ที่ใช้ ดังนั้นวิธีการตั้งค่าอาจจะไม่ตรงกับตัวอย่างก็ได้ครับ
** กรณีต้องการ Reset ค่าของ WPS แล้วตั้งค่าใหม่ สามารถกดปุ่ม “ Reset OOB “ เพื่อ Reset ค่าของ WPS แล้วกลับไปเป็นค่าจากโรงงาน เหมือนตอนที่ยังไม่ได้ตั้งค่าในครั้งแรก
3.3. การตั้งค่า Security Mode ให้กับ Secondary SSID
การตั้งรหัสผ่านให้กับ Secondary SSID จะมีด้วยกัน 2 กรณีคือ ตั้งชื่อที่ 2 ในโหมด Wireless Router โดยตั้งชื่อทั้ง Primary SSID และ Secondary SSID เอาไว้ และสำหรับกรณี ที่ตั้งโหมด Repeater เพื่อขยายสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นโหมด WISP, Universal Repeater หรือ WDS Bridge ชื่อ Primary จะเลื่อนมาอยู่ตรงช่อง Secondary อัตโนมัติ กลายเป็นชื่อหลักชื่อเดียวแทนครับ
การตั้งรหัสผ่าน Wireless ให้กับ Wireless ตัวรอง ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือก SSID เป็นชื่อตัวรอง โดยกดปุ่ม Dropdown ตรงช่อง Select SSID ครับ โดยจะมีให้เลือก ชื่อ SSID ทั้ง Primary และ Secondary ครับ ซึ่งหลังจากเลือก SSID แล้ว ก็ให้ทำตามข้อ 3.1 เพื่อตั้งโหมดของ Security และตั้งค่ารหัสผ่าน ต่อไปครับ
4. การตั้งค่า Wireless Access Control
Access Control เป็นฟังก์ชั่นความปลอดภัยสำหรับ Wireless อีกแบบหนึ่ง นอกเหนือจากการตั้งรหัสผ่านทั้ง WEP, WPA-PSK และ WPA2-PSK ที่ใช้กันตามบ้าน หรือ Office ครับ โดย Access Control นั้น จะไม่ได้ใช้ “ รหัสผ่าน หรือ Wireless Key “ ในการตรวจสอบ แต่จะใช้ MAC Address ของ Wireless เท่านั้น ( คนละส่วนกับ MAC Filter ในเมนู Security ครับ ) ซึ่ง Access Control หรือการตรวจสอบการเชื่อมต่อด้วย MAC Address ของ Wireless ถือว่ามีความปลอดภัยในระดับที่ดีกว่า WEP ครับ ดังรูปตัวอย่าง
NOTE : Wireless Access Control จะแตกต่างจาก Security > MAC Filter ตรงที่ MAC Filter จะ Block เฉพาะ MAC ของทั้ง Wireless และ LAN ไม่ให้ออก Internet แต่จะยังสามารถเชื่อมต่อเข้ามายังระบบ Network ได้ ทำให้ยังแชร์ไฟล์ หรือ แชร์ Printer ได้อยู่
Access Control หรือ MAC Filter สำหรับ Wireless เป็นเมนูที่ออกแบบมาสำหรับ Block ผู้ใช้งาน Wireless ไม่ให้เชื่อมต่อผ่าน Wireless เข้ามาในระบบได้ หรือ ตั้งให้ยินยอม เฉพาะ MAC Address ของ Wireless ที่อยากให้เชื่อมต่อเข้ามาในระบบเครือข่ายเท่านั้น ซึ่งการตั้งให้ Block หรือ ยินยอม นั้น ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ จะตั้งใช้งานพร้อมกันไม่ได้ครับ
NOTE : MAC Address คือ หมายเลขของ Network Card ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ Network ทุกชนิดที่มามี Port LAN หรือ Wireless LAN ติดมาด้วย โดยหมายเลขนี้จะถูกกำหนดค่ามาจากโรงงานที่ผลิต Network Card และเป็นหมายเลขที่ไม่ซํ้ากันเด็ดขาด มีรูปแบบของค่า MAC Address ที่อยู่ในรูปแบบของเลขฐานสิบหก คือ 01-23-45-67-89-AB หรืออีกรูปแบบคือ 01:23:34:45:56:67 เป็นต้น
4.1. ความหมายของแต่ละเมนูและ Item ใน Wireless MAC Filter
1. Select SSID
เลือกชื่อ SSID ที่ต้องการทำ Wireless MAC Filter
- ถ้าเซตเป็น Router Wireless หรือ AP Mode จะมี SSID ชื่อเดียว
- ถ้าเซตเป็น Universal Repeater หรือ WISP Mode จะต้องเลือกชื่อ SSID ตัวที่ 2
2. Filter Mode
- Disable : ปิดการใช้งานฟังก์ชั่น Wireless MAC Filter
- Forbid only : ตั้งค่าเพื่อ Block การใช้งาน Internet ของ Client ที่อยู่ในเงื่อนไข (เครื่องที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขจะสามารถใช้ Wireless ได้)
- Permit only : ตั้งค่าเพื่อ ยินยอม ให้ Client ที่อยู่ในเงื่อนไขสามารถใช้งาน Internet (เครื่องที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขจะไม่สามารถใช้ Wireless ได้)
3. MAC Address
- กรอก MAC Address ของอุปกรณ์ Wireless ที่ต้องการ Block หรือ ยินยอม ( จำนวน 12 ตัว )
- ปุ่มเพิ่ม MAC Address ในตารางเงื่อนไข
5. ID
- ลำดับของเงื่อนไข โดยจะแสดงหมายเลข MAC Address ที่ได้เพิ่มเข้าไป สำหรับเงื่อนไข Wireless MAC Filter เพิ่มได้สูงสุด 16 เงื่อนไข
6. Delete
- ปุ่มสำหรับลบเงื่อนไขที่ไม่ต้องการ
7. Apply / Cancel
- กดปุ่ม Apply สำหรับบันทึกค่า
- กดปุ่ม Cancel สำหรับยกเลิกค่าที่เคยกรอกไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ Apply
** ผู้ใช้จำเป็นต้องทราบ MAC Address ของเครื่องที่ต้องการ Block หรือ ยินยอม ด้วยครับ หรือถ้าไม่ทราบ สามารถศึกษาเพิ่มเติม โดยเข้าไปที่ http://www.wikihow.com/Find-the-MAC-Address-of-Your-Computer เป็นต้น หรือจะดูจากตัวอย่างคร่า ว ๆ ในหัวข้อถัดไป
4.2. ตัวอย่างตำแหน่ง Wireless MAC Address จากหลายกหลายอุปกรณ์
ตัวอย่างที่ 1 : รูปด้านซ้าย ตรงช่อง Physical Address แสดง MAC Address ของ Wireless บน Windows 7, 8 ( ดูจาก Open Network and Sharing Center > Wireless Network Connection Status > Detail )
สำหรับรูปขวาคือ การตรวจสอบ Airport MAC Address บน MAC OS X ครับ ตรงช่อง AirPort ID ( อยู่ในส่วนของ Preference > Network )
ตัวอย่างที่ 2 : เป็นการตรวจสอบ MAC Address ของ Wireless บน iOS ( อยู่ในส่วนของ Setting > General > About )
ส่วนรูปด้านขวา คือ MAC Address ของ Wireless บน Android OS ครับ ( ในบาง OS จะอยู่ที่เมนู Setting > About > Status ครับ )
NOTE : ดูวิธีค้นหา MAC Address เพิ่มเติมได้จาก http://www.wikihow.com/Find-the-MAC-Address-of-Your-Computer
4.3. ตัวอย่างการตั้งค่า Permit Only เพื่อยินยอมเท่านั้น
จากรูปตัวอย่าง ต้องการตั้ง Permit Only เพื่อยินยอมให้ Notebook Wireless 1 กับ 2 สามารถเชื่อมต่อ Wireless ได้เท่านั้น ส่วน Mobile กับ Tablet ไม่อนุญาต
สามารถตั้งเงื่อนไข Permit Only : ในหน้า Access Control ให้เลือก MAC Address Filter เป็น Permit แล้วจากนั้น ก็เพิ่ม MAC Address ของ Notebook Wireless 1 ในช่อง MAC Address แล้ว กดปุ่ม Add ให้เข้าไปเก็บค่าไว้ในตาราง แล้วก็ทำการเพิ่ม MAC Address ของ Wireless 2 ด้วย กดปุ่ม Add เสร็จแล้วกด OK ครับ
** ส่วน MAC Address ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขจะถูก Blockไม่ให้เข้า Wireless อัตโนมัติ
4.4. ตัวอย่างการตั้งค่า Forbid Only เพื่อ Block เท่านั้น
จากรูปตัวอย่าง ต้องการตั้ง Forbid Only เพื่อ Block ไม่ให้ Mobile และ Tabletสามารถเชื่อมต่อ Wireless เข้ามาในระบบเครือข่ายได้ แต่ อนุญาตให้ Wireless ตัวอื่นใช้งานได้ตามปรกติ
จากตัวอย่างสามารถตั้งเงื่อนไข Forbit Only : โดยเลือก Filter Mode เป็น Forbit Only แล้วเพิ่ม MAC Address ของ Table กับ Mobile เข้าไปไว้ในเงื่อนไข แล้วกด OK ครับ
* ส่วน Wireless MAC Address ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข จะไม่ถูก Block นะครับ สามารถเข้า Wireless ได้ปรกติ
** การตั้งค่าความปลอดภัยด้วย Wireless MAC Filter สามารถใช้ร่วมกับการตั้งค่าความปลอดภัยแบบอื่น เช่น WEP หรือ WPA-PSK หรือ WPA2-PSK ได้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบความปลอดภัย Wireless ของ Network ของผู้ใช้เองครับ
5. การตรวจสอบจำนวนเครื่องที่เข้ามาใช้ Wireless ( Connection Status )
ผู้ใช้สามารถตรวจสอบจำนวนเครื่อง Client ที่เข้ามาใช้งาน Wireless ในขณะนั้น เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้ใช้งาน หรือการแอบใช้งานของ Client เครื่องอื่น เป็นต้น โดยรายละเอียดในเมนู Connection Status มีดังนี้
- NO. = คือลำดับของเครื่อง Client ที่เชื่อมต่อเข้ามา โดยมีตัวเลขกำกับเพื่อระบุจำนวนครับ
- MAC Address = แสดงค่า MAC Address ของ Client ที่เชื่อมต่อเข้ามาขนาดนั้น
- Bandwidth = เป็นการแสดง Bandwidth ของเครื่อง Client ที่เชื่อมต่อเข้ามา ถ้าเชื่อมต่อได้ที่ 20M จะได้ความเร็วครึ่งหนึ่ง หรือตํ่ากว่า แต่ถ้าเชื่อมต่อได้ที่ 40M จะได้ความเร็วของการเชื่อมต่อเต็มที่ครับ
NOTE : ถ้าเครื่อง Client มีการ Disconnect หรือไม่เชื่อมต่อกับ Wireless สักครู่ รายชื่อก็จะหายไปทันทีครับ
ในกรณีที่เซตโหมด Wireless Extender จะต้องเช็คที่ Secondary SSID ครับ โดยให้ Select SSID เป็นชื่อ Wireless ตัวรอง ตามรูปครับ
**************** สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่เบอร์ 02-3123641 – 6 ( 6 คู่สายอัตโนมัติ ), 086-3697855 *****************